อาหาร หมายถึงสิ่งที่ร่างกายกินเข้าไปแล้วทำให้เกิดประโยชน์ไม่เกิดโทษ หรือเป็นพิษต่อร่างกายแต่อย่างใด ไม่ว่าสัตว์ชนิดใดๆ จำเป็นต้องได้รับอาหาร เพื่อประโยชน์ 3 ประการด้วยกัน กล่าวคือ |
เพื่อการดำรงชีวิต สัตว์ทุกๆ ชนิดย่อมรักชีวิตของตัวเองรักษาชีวิตของตัวเองให้อยู่รอดได้อย่างยาวนาน อาหารที่กินเข้าไปนั้นจะช่วยให้ร่างกายสามารถทำกิจกรรมต่างๆ ได้โดยดำเนินไปตามปกติสุข |
เพื่อการเจริญเติบโต สังเกตบ้างไหมว่า ส่วนสูงและน้ำหนักของเรา หรือของสัตว์อื่นๆ เพิ่มขึ้นมา มันเพิ่มมาจากไหน อาหารที่กินเข้าไปนั้นเองนอกจากอาหารจะช่วยในด้านของการเจริญเติบโตแล้ว อาหารยังเข้าไปซ่อมแซมในส่วนที่สึกหรออีกด้วย |
เพื่อการสืบพันธุ์ สิ่งมีชีวิตทุกๆ ชนิดต้องมีการสืบพันธุ์เพื่อให้มีลูก หลาน ดำรงอยู่ไม่สูญหายไปจากโลก กิจกรรมเหล่านี้อาหารมีส่วนในการช่วยสร้างอสุจิ ไข่ และฮอร์โมนต่างๆ ที่ใช้ในกิจกรรมนี้เพื่อให้มีลูกหลานสืบไป |
ปลาก็เหมือนกับสัตว์ชนิดอื่นๆ ต้องการอาหารเช่นเดียวกัน อาหารที่ปลาต้องการมีความแตกต่างกันในปลาแต่ละชนิด ในการเลี้ยงปลาสวยงามอาหารจากธรรมชาตินั้นไม่ค่อยมี เพราะปลาถูกกักขังอยู่ในเนื้อที่อันจำกัด หากจะมีอยู่บ้างก็เพียงเล็กน้อยไม่เพียงพอกับความต้องการ นอกจากนี้ปลาไม่สามารถจะออกสู่ภายนอกเพื่อหาอาหารกินได้เอง จำเป็นอย่างมากที่ผู้เลี้ยงปลาสวยงามจะต้องมีการให้อาหารกับปลาที่เลี้ยงไว้ให้มีคุณค่าทางโภชนาการอย่างครบครัน ปลาจึงมีชีวิตอยู่รอดได้อย่างปลอดภัย คุณค่าทางโภชนาการที่ปลาต้องการอาจกล่าวได้ดังนี้ |
|
โปรตีน เป็นส่วนประกอบของเนื้อเยื่อต่างๆ ในร่างกายความต้องการโปรตีนของปลานั้นเพื่อนำมาใช้ในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างเนื้อเยื่อใหม่เพื่อการเจริญเติบโต ปลาที่อยู่ในเขตอบอุ่นมีอากาศค่อนข้างจะหนาวเย็นมีความต้องการโปรตีนอยู่ในช่วง 36-60 เปอร์เซ็นต์ ส่วนปลาที่อยู่ในเขตร้อนมีความต้องการโปรตีน 24-55 เปอร์เซ็นต์ |
คาร์โบไฮเดรต สารอาหารชนิดนี้เป็นสารอาหารที่ให้พลังงานที่นับได้ว่ามีราคาถูกที่สุด ในอาหารประเภทที่ให้พลังงานด้วยกันจะอยู่ในรูปของแป้งและน้ำตาล แป้งหากมีในปริมาณมากอาจจะมีอันตรายได้ อาหารที่ใช้เลี้ยงปลาสวยงามนั้นควรจะมีระดับของคาร์โบไฮเดรตประมาณ 20 เปอร์เซ็นต์ และระดับของน้ำตาลในเนื้ออาหารควรต่ำกว่า 10 เปอร์เซ็นต์ ปลาจึงจะนำไปใช้ได้โดยเกิดประโยชน์ไม่เกิดโทษ |
ไขมัน เป็นสารอาหารที่ให้พลังงานสูงกว่าสารอาหารชนิดอื่นๆ อย่างน้อยจะให้เป็นหลังงานเป็น 2 เท่าของคาร์โบไฮเดรต ในปริมาณที่เท่ากัน โดยส่วนใหญ่แล้วไขมันจะถูกเก็บสะสมไว้ภายในร่างกายและจะนำมาใช้เมื่อยามขาดแคลน โดยปกติแล้วอาหารที่ให้ปลาสวยงามจะมีสารอาหารชนิดนี้ไม่มากนัก |
วิตามิน สารอาหารชนิดนี้ไม่ได้มีส่วนช่วยในการซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอกับร่างกาย ไม่เป็นสารอาหารที่ทำให้เกิดพลังงาน แต่มีส่วนช่วยในการย่อยอาหารชนิดต่างๆ ให้ดีขึ้น ทำให้ระบบต่าง ดำเนินไปอย่างเป็นปกติ ถึงแม้วิตามินจะไม่ได้เป็นสารอาหารสำคัญแต่ร่างกายของปลาก็ขาดไม่ได้ หากขาดวิตามินจะทำให้ปลาป่วยเป็นโรค |
เกลือแร่ เป็นสารอาหารที่ควบคุมกิจกรรมต่างๆ ในร่างกาย ให้ดำเนินไปได้อย่างปกติสุขในอาหารเม็ดมีส่วนช่วยในการปรับแต่งรสชาติของอาหารให้ดีขึ้นอีกด้วย |
|
อาหารที่ใช้ในการเลี้ยงปลาหากจะแบ่งชนิดแล้ว สามารถที่จะกล่าวได้หลายประเภท ซึ่งขึ้นอยู่กับว่าเราจะให้ข้อกำหนดใดในการแบ่งเพื่อให้ง่ายต่อความเข้าใจ จะขอแบ่งอาหารที่ใช้ในการเลี้ยงปลาเป็น 2 ประเภทคือ อาหารสำเร็จรูปและอาหารธรรมชาติ |
|
อาหารสำเร็จรูป |
หรืออาหารแห้งที่ผลิตได้จากวัตถุดิบต่างๆ ที่มีคุณค่าทางโภชนาการ เช่น ปลาเบ็ด ถั่วเหลือง ปลายข้าว นอกจากนี้ยังมีสารประกอบบางชนิดที่ใส่เพื่อการเร่งสี เร่งโต ทำให้อาหารเหล่านี้ได้รับความนิยม มีผู้ผลิตออกมาจำหน่ายมากมาย หลายชนิดพอจะกล่าวได้ดังนี้ |
|
อาหารชนิดเม็ดจมน้ำ นิยมใช้กับปลาที่หากินที่พื้นตู้ |
1. | อาหารชนิดเม็ดจมน้ำ นิยมใช้กับผลาที่หากินที่พื้นตู้ | 2. | อาหารชนิดเม็ดลอยน้ำ โดยส่วนมากผู้เลี้ยงปลาสวยงามนิยมที่จะให้อาหารชนิดนี้ | 3. | อาหารเกล็ด เป็นอาหารสำเร็จรูปที่ทำเป็นแผ่นขนาดเท่ากับเกล็ดปลาง่ายต่อการใช้ | 4. | อาหารชนิดผง อาหารชนิดนี้เหมาะในการเลี้ยงลูกปลาวัยอ่อน ผลิตจากสาหร่ายเกลียวทอง | | | |
ในปัจจุบันนี้มีผู้ผลิตอาหารสำเร็จรูปจำหน่ายกันอย่างมาก ในการเลือกซื้ออาหารเหล่านี้ควรเลือกอาหารที่มีฉลากปิดข้างซองและบอกปริมาณของโปรตีนไว้สูง ซึ่งปริมาณของโปรตีนนี้ไม่ควรต่ำกว่า 32 เปอร์เซ็นต์ อาหารที่มีปริมาณของโปรตีนสูงจะมีกลิ่นหอมมาก นอกจากนี้ควรเลือกอาหารให้ถูกกับชนิดของปลา โดยส่วนใหญ่แล้วอาหารชนิดเม็ดลอยน้ำเป็นที่นิยมใช้กันมากในหมู่ผู้เลี้ยงปลา เพราะเมื่อเวลาให้อาหารปลาเหลืออาหารนี้ก็ยังคงลอยน้ำอยู่ สามารถช้อนออกทิ้งได้ไม่ทำให้น้ำเน่าเสียได้ง่าย |
|
อาหารธรรมชาติ |
อาหารธรรมชาติ หมายถึงอาหารที่มีชีวิตซึ่งอาจเกิดขึ้นเองในที่กักขังที่ใช้เลี้ยงปลา หรือเพาะเลี้ยงขึ้นแล้วนำมาให้ปลากินเป็นอาหาร อาหารธรรมชาติสามารถที่จะแบ่งออกได้อีก 3 ประเภท |
1. | สัตว์จำพวกกุ้ง ปู อินฟิวซอเรีย ไรแดง ไรสีน้ำตาล | 2. | สัตว์จำพวกตัวอ่อนของแมลง ได้แก่ ลูกน้ำ หนอนแดง | 3. | สัตว์จำพวกหนอน ได้แก่ ไส้เดือน | | | |
อินฟิวซอเรีย เป็นกลุ่มของสัตว์ที่มีขนาดเล็กไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า จัดไว้เป็นสัตว์เซลล์เดียวหรือพืชเซลล์เดียว นิยมที่จะให้อินฟิวซอเรียกับพวกลูกปลาวัยอ่อนเช่น ปลาทอง จัดว่าเป็นอาหารที่ดีมาก เพราะปลาในวัยอ่อนมีขนาดปากที่เล็กยังไม่สามารถกินอาหารที่มีขนาดใหญ่ได้ |
วิธีการเพาะอินฟิววอเรีย นั้น สามารถกระทำได้โดยง่าย โดยใช้น้ำในร่องสวนหรือน้ำที่มีอยู่ในตู่ปลา น้ำเหล่านี้จะมีแบคทีเรียอยู่เป็นจำนวนมากมาใส่ในภาชนะ ตั้งไว้ในที่สงบ ร่วมรื่น หั่นผักใส่ลงไปทิ้งไว้ 2-3 วัน จะเห็นน้ำเป็นเหมือนฝุ่นขาวๆ ลอยอยู่ในน้ำมากมาย นั่นแสดงว่าเกิดอินฟิวซอเรียขึ้นแล้ว สามารถนำไปให้ลูกปลาวัยอ่อนกินได้ |
|
ไรสีน้ำตาล หรือที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า อาร์ทีเมีย เป็นสัตว์น้ำเค็มที่มีลักษณะคล้ายกุ้ง มีลำตัวอ่อนข้างยาวเมื่อฟักออกจากไข่จะมีความยาวประมาณ 4.5 มิลลิเมตร สามารถที่จะนำไปใช้กับลูกปลา และลูกกุ้ง ในวัยอ่อนได้ดี ในปัจจุบันนี้การเพาะอาร์ทีเมียสามารถกระทำได้โดยง่าย โดยซื้อไข่ที่เก็บไว้ในกระป๋องมาทำการเพาะฟักซึ่งได้ผลดี |
วิธีการเพาะอาร์ทีเมีย ให้ใช้ไข่อาร์ทีเมียจำนวน 5 กรัมใส่ในน้ำที่มีความเค็ม 25-30 ส่วนในพันส่วน (น้ำทะเล) ให้อากาศและตั้งทิ้งไว้ในที่มีแสดงสว่างประมาณ 1-2 วัน ไข่อาร์ทีเมียจะฟักออกเป็นตัวสามารถที่จะนำไปให้ปลาสวยงามกินเป็นอาหารได้ |
|
ลูกน้ำ เป็นตัวอ่อนของยุง ในสภาพของธรรมชาติแล้วจะพบลูกน้ำโดยทั่วๆ ไป ในแหล่งน้ำทิ้งบริเวณที่มีน้ำขัง ลูกน้ำจะเกิดจากยุงตัวเมียวางไข่บนผิวน้ำ ไข่ของยุงเป็นรูปทรงกระบอกมีปลายแหลมอยู่ด้านหนึ่ง ลอยเป็นแพอยู่มีเป็นจำนวนมาก เมื่อไข่ฟักเป็นตัวจะเห็นเป็นตัวสีน้ำตาลเทาและดำ ในที่สุด |
วิธีการเพาะลูกน้ำทำได้ไม่ยาก ใช้ภาชนะปากกว้างใส่น้ำลงไปประมาณ 30-50 เซนติเมตร ใสหญ้าหรือปุ๋ยคอกลงไป ตักทิ้งไว้ในที่สงบ ไม่ถูกแสงแดด ประมาณ 2-3 วัน จะมีตัวอ่อนของยุงเกิดขึ้นมากมาย สามารถที่จะช้อนให้ลูกปลากินเป็นอาหารได้ |
|
ไรแดง ไรแดงเป็นสัตว์น้ำเล็กๆ มีลำตัวเป็นข้อและปล้องขนาด 0.4-1.8 มิลลิเมตร ลำตัวมีสีแดงเรื่อๆ หากอยู่รวมกันมากๆ จะเห็นได้ชัดเจน ไรแดงมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ไรแดงเมื่อทำให้แห้งพบว่ามีโปรตีนสูงถึง 73.92 เปอร์เซ็นต์ นิยมที่จะให้ไรแดงกับปลาอ่อนวัย นับว่าไรแดงเป็นอาหารที่มีความสำคัญมากในการเพาะเลี้ยงปลาสวยงามในปัจจุบัน |
วิธีเพาะไรแดง ในปัจจุบันนี้ได้รับความสนใจอย่างกว้างขวางจากนักวิชาการประมงหลายๆ ท่านในที่นี้ขอนำวิธีการเพาะไรแดงของคุณสำรวย เสร็จกิจ นักวิชาการของสถาบันประมงน้ำจืดแห่งชาติ โดยทำการเพาะไรแดงในบ่อซีเมนต์ขนาด 50 ตารางเมตร ในรำ 2 กิโลกรัม ปลาป่น 1 กิโลกรัม กากถั่วลิสง 1 กิโลกรัม และปุ๋ยวิทยาศาสตร์สูตร 15-15-15 จำนวน 200 กรัม ใส่น้ำในบ่อจนได้ระดับ 50 เซนติเมตร หมักอาหารในบ่อเป็นเวลา 20 ชั่วโมง ใส่เชื้อไรแดงประมาณ 250 กรัมจะสามารถเก็บเกี่ยวไรแดงได้ในวันที่ 6 หรือ 7 ได้ทุกวันเป็นเวลา 15 วัน แล้วปริมาณของไรแดงจะน้อยลงเนื่องจากอาหารไม่พอควรล้างบ่อแล้วทำการเพาะใหม่ |
|
หนอนแดง เป็นตัวอ่อนของรินน้ำจืด มีรูปร่างคล้ายกับยุงแต่มีขายาว เมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดประมาณ 2 เซนติเมตร ในปัจจุบันหนอนแดงมีผู้นิยมนำมาใช้เป็นอาหารในการเพาะเลี้ยงปลากันมากทำให้มีความต้องการหนอนแดงสูงขึ้น แต่หนอนแดงที่รวบรวมได้จากธรรมชาติมีจำนวนลดลงไม่พอเพียงกับความต้องการของตลาด |
วิธีการรวบรวมหนอนแดงจากธรรมชาติสามารถกระทำได้ง่ายโดยใช้สวิงช้อนหนอนแดงขึ้นมา ก็สามารถที่จะนำหนอนแดงมาใช้เพาะเลี้ยงปลาได้ |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น